สมาชิก@AD

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ต้มยำกรอบ




อาหารไทยกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะ “ต้มยำกุ้ง” เป็นเมนูอันดับหนึ่งที่ชาวต่างชาติรู้จักกันมากที่สุด ซึ่งจากนิยมในอาหารประเภทนี้ จุดประกายให้ผู้ประกอบการไทยรายหนึ่ง นำมาต่อยอดด้วยการแปรรูปจากอาหารจานหลักมาสู่อาหารกินเล่นแบบอบแห้ง เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้ ต้มยำกรอบ เป็นการประยุกต์เมนูต้มยำกุ้ง มาเป็นอาหารกินเล่นแบบอบแห้ง มีวัตถุดิบประกอบด้วย กุ้งเสียบ ปลาหมึกแก้ว ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด พริกแห้ง และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งแม้ว่าจะพยายามขายจุดเด่นของความเป็นต้มยำ แต่ที่ต้องเพิ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์เข้าไว้ด้วย ก็เพื่อความเหมาะสมที่จะเป็นอาหารกินเล่น
ขั้นตอนการทำ นำส่วนประกอบต่างๆ ไปทอด และอบแห้ง แล้วคลุกกับน้ำต้มยำที่เคี่ยวเตรียมไว้ พยายามให้ได้รสชาติออกมาใกล้เคียงกับต้นตำรับมากที่สุด ถ้ากินแล้วเผ็ด ก็ไม่ใช่เพราะพริก แต่จะเผ็ดด้วยตะไคร้ เหมือนเวลากินพริกไทย เผ็ดร้อน ไม่เผ็ดมากไม่เผ็ดแสบเหมือนพริก ทั้งนี้ จากการสำรวจสินค้าในตลาด รสชาติของต้มยำกรอบถือว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถือได้ว่าเป็นเจ้าแรก โดยสามารถเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน

จุดเด่นของต้มยำกรอบ คือ รสชาติที่ใกล้เคียงกับต้นตำรับ และสะดวก หาซื้อง่าย กินได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา

นายอาวุธ อัศวชัยกุล กรรมการผู้จัดการ ไทยธัญญา อินเตอร์ฟูด จำกัด ผู้ผลิต “ต้มยำกรอบ” เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า จากที่ตัวเอง เคยศึกษาอยู่ต่างประเทศ เวลาอยากกินอาหารไทย ก็จะหากินได้ยาก และมีราคาแพง จึงมองเห็นช่องทางว่า ทุกวันนี้ อาหารไทยเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติมาก จึงคิดจะทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำอาหารไทยมาแปรรูปสำหรับขายตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจครอบครัวที่อยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว

“เดิมทีเราผลิตขนมอยู่ก่อนแล้ว มีหลายตัวด้วยกัน เช่น ข้าวเม่าหมี่ กลีบลำดวน กรอบเค็ม ทองม้วน ทองพับ ฯลฯ ก็มีคนมารับของเราไปขาย แต่เนื่องจากว่าเราผลิตหลายตัว ออเดอร์ไม่สม่ำเสมอ บางทีมีออเดอร์มาเยอะทำที 4-5 ตัว กระทะก็มีกระทะเดียว เราก็เลยมีความคิดที่จะผลิตสินค้าตัวใหม่ ด้วยความที่ตนเองเป็นคนกินเหล้า ก็เลยคิดหากับแกล้ม ก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อย ใช้เงินทุนเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท ในที่สุดก็ได้สูตรนี้ออกมา ก็ใช้เวลาประมาณ ครึ่งปี กว่าจะได้รสชาติที่เป็นมาตรฐาน” เขาเผยว่า ได้วางกลุ่มลูกค้าไว้ที่ระดับบน และชาวต่างชาติ เพราะสินค้าราคาสูง ขนาด 150 กรัม ราคาขายส่ง 85 บาท ราคาขายปลีก 120 บาท


การทำตลาด เริ่มจากขายในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ขยายไปเป็นสินค้าส่งออก เช่น มาเลเซีย , สิงคโปร์ และสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางจัดจำหน่ายอื่นๆ อาทิ สนามบิน แหล่งท่องเที่ยว และได้รับคัดเลือกเป็นโอทอป 5 ดาวของเขตบึงกุ่ม ทำให้ได้ออกงานแสดงสินค้าด้วย มีรายได้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในปัจจุบันประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน

เจ้าของผลิตภัณฑ์ เผยต่อว่า ผลตอบรับที่ผ่านมาถือว่า น่าพอใจ โดยรายได้มาจากตลาดในประเทศ และต่างประเทศ อย่างละครึ่งทั้งนี้ สินค้ายังมีจุดอ่อนที่ เก็บไว้ได้แค่ 3 เดือน ซึ่งการไปตั้งวางขายในตลาดต่างประเทศ เป็นอุปสรรค ซึ่งจะต้องพัฒนาสินค้าต่อไปนอกจากนี้ ในอนาคต จะพยายามพัฒนาด้านโรงงานผลิต ให้ได้มาตรฐานสากลต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการส่งออก โดยมองตลาดไปที่ 3 กลุ่ม คือ ตะวันออกกลาง , ยุโรป และเอเชีย อีกทั้ง การตลาดในประเทศ จะมุ่งไปยังสถานบันเทิงเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างชื่อให้เป็นเมนูสำหรับนักดื่มด้วย




ไม่มีความคิดเห็น:

Museum of siam