สมาชิก@AD

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

เผยแพร่วัฒนธรรมไทยเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ




วัฒนธรรมเป็นพาหนะสำคัญในการเชื่อมต่อ Local ไปสู่ Global อย่างมีประสิทธิภาพจะเห็นตัวอย่างได้จากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการใช้ “วัฒนธรรม” เป็นอาวุธในการแข่งขันกับโลก ทั้งใช้หาพวกและหารายได้เข้าประเทศ ซึ่งเป็นอาวุธพิเศษที่เป็นของใครของมัน ไม่มีใครลอกเลียนแบบกันได้ ผู้ชนะคือ ประเทศที่มีทุนทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง และสามารถนำเอาวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด และประเทศไทยของเราเองก็มีวัฒนธรรม ที่น่าสนใจที่เราจะสามารถนำมาเป็นอาวุธที่ช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับทุกคนภายในประเทศและรัฐบาลที่จะต้องคอยช่วนกันดูแลและส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดีของไทยเราให้มีความแข็งแกร่งไม่ให้หายไปเพียงเพราะคนในประเทศมัวแต่ไปรับวัฒนธรรมจากต่างชาติ และนำมาแทนที่วัฒนธรรมอันดีงามต่างๆของไทยเราเอง เราควรช่วยกันรักษาและเผยแพร่วัฒนธรรมที่ดีนั้นๆต่อไปโดยการมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของวัฒนธรรมไทยให้ชาวโลกได้รู้จักประเทศไทยดีขึ้น โดยผ่านดนตรีไทย นาฏศิลป์ไทย และศิลปะ หัตถกรรมไทย




นอกจากนี้เราควรหันมาจริงจังกับแนวคิดเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy เป็นรูปแบบของเศรษฐกิจระบบใหม่ที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของโลกในยุคปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการที่นำเอาวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี มารวมเข้าไว้ด้วยกัน เกิดเป็นอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ หรืออุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม ที่มีความสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ

แนวคิดนี้จะช่วยเศรษฐกิจของไทยได้ คือ ปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพใหม่ๆที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นกำลังสำคัญในการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ในขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเข้ามาดูแลให้มีการเปิดกว้างให้คนทั่วไปเข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์



ถ้าใครอยากรู้จักกับวัฒนธรรมไทย ความเป็นมาของไทย อยากรู้ว่าไทยแท้เป็นยังไง ก็สามารถไปหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ พิพิทธภัณฑ์การเรียนรู้ มิวเซียมสยาม ที่นอกจากจะได้รับความรู้กลับไปแล้วยังได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินกลับมาอีกด้วย





วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ใบชาไทย


เมื่อพูดถึงชาดีมีคุณภาพ คงต้องนึกถึงชาที่มาจากประเทศจีน ทว่า วันนี้ ชาของคนไทย ในชื่อ ชาวังพุดตาล ถิ่นกำเนิดจากดอยแม่สลอง จ.เชียงราย ที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นตำรับ ในขณะที่ราคาถูกกว่า 3-4 เท่าตัว สามารถทำตลาดส่งกลับไปขายยังประเทศที่มาได้อีกด้วย

พิธาร พืชมงคล เจ้าของธุรกิจเผยว่า ชาของไร่วังพุดตาล จุดเด่น อยู่ที่กลิ่นหอมละมุน และรสชาติกลมกล่อม เหมือนกับชาต้นตำรับแท้ๆ จากประเทศจีน หรือไต้หวัน โดยเคล็ดลับของการได้มาซึ่งรสชาติดังกล่าว เกิดจากใบชาคุณภาพ ซึ่งปลูกบนดอยแม่สลอง จ.เชียงราย บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ซึ่งถือเป็นระดับที่อากาศ และอุณหภูมิ เหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกใบชา

สำหรับพันธุ์ใบชาของไร่วังพุดตาล นำมาจากไต้หวัน โดยมาปลูกที่ไร่แม่สลองกว่า 21 ปีมาแล้ว ใช้กรรมวิธีการเก็บและอบใบชาที่เป็นเทคนิคเฉพาะตัว ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากเซียนชาชาวไต้หวัน โดยทุกวันนี้ ธุรกิจของไร่วังพุดตาล ถือเป็นผู้ผลิตใบชารายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้รับคัดสรรเป็นโอทอป 5 ดาวของประเทศ โดยมีตลาดส่งไปจำหน่ายนานาประเทศ อาทิ จีน มาเลเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์ เป็นต้น รวมถึงตลาดในประเทศ สำหรับกลุ่มผู้นิยมการดื่มชาแบบต้นตำรับ

เจ้าของไร่ระบุว่า จุดเด่นอีกประการ อยู่ที่ราคาถูก ระดับชาเกรดเอ ขายอยู่ที่ 3,000 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถูกกว่าของจีน หรือไต้หวันกว่า 3-4 เท่าตัว ส่วนสรรพคุณของใบชานั้น มีหลายประการ อาทิ ช่วยลดความดัน ลดไขมันในเส้นเลือด ฯลฯ


นอกจากนี้ การดื่มชาให้ได้อรรถรส และประโยชน์สูงสุด จำเป็นต้องรู้จักกรรมวิธีในการชง และใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม ดังนั้น ทางไร่ฯ จึงเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์ชงชาชั้นเยี่ยมมาจากประเทศจีน โดยตัวเขาจะเป็นคนเดินทางไปเสาะแสวงหาด้วยตัวเอง เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตได้

“การชงชา และดื่มชาเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งคนไทยส่วนมากยังดื่มชาแบบผิดๆ ทำให้ไม่ได้รับรสชาติที่แท้จริงของใบชา ส่วนมากจะดื่มแบบนำใบชาลงไปแช่ ทำให้เกิดรสขม หรือบางคนกินแล้วเกิดอาการท้องผูก ซึ่งปัญหาเหล่านี้ มาจากการชงที่ผิดวิธี”

ด้านช่องทางจัดจำหน่ายเวลานี้ มีทั้งผลิตส่งตามคำสั่งซื้อ และมีหน้าร้านของตัวเอง ชื่อ “ห้างชาจงซิน” อยู่ที่ชั้น 2 บองพลาซ่า ศูนย์สินค้าบองมาเช่ ส่วนคู่แข่ง เวลานี้ ยังไม่มีรายใดขึ้นมาเทียบได้ และมองตลาดของธุรกิจยังเปิดกว้าง เพราะปริมาณใบชาที่มีคุณภาพ ซึ่งผลิตได้ในทุกวันนี้ ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด




ทั้งนี้ ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เช่นนี้ ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใบชา และอุปกรณ์ชงชาอยู่ในกระเช้าของขวัญ ด้วยราคาไม่สูงนัก ประมาณ 700 บาท ซึ่งสามารถทำตลาดได้อย่างดี เนื่องจากปัจจุบัน คนทั่วไปหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพ จึงไม่นิยมมอบสุราเป็นของขวัญ การมอบชุดกระเช้าชา จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่ลงตัว

“ความคาดหวังส่วนตัว ผมคิดว่า คงไม่ขยายธุรกิจอะไรมากมายแล้ว ผมยึดคติทำอย่างเพียงพอ ทว่า ผมอยากให้คนทั่วไปรู้ว่า ชาของไทยคน ก็เป็นหนึ่งในชาดีของโลก ขนาดต้นตำรับแท้ๆ ยังต้องสั่งสินค้าจากเรา ซึ่งผมถือว่า เป็นสิ่งที่คนไทย ควรจะภาคภูมิใจ”




ทองม้วน


หลายคนคงมีฝัน อยากเป็นเจ้าของกิจการมูลค่านับสิบล้าน ที่สินค้าสามารถส่งไปขายต่างแดน ความฝันดังกล่าว คงคิดว่ายากเกินหวังให้เป็นจริง แต่จากการสร้างธุรกิจของ “ทองม้วนวันวิไล” ที่นำขนมไทยธรรมดาๆ มาวางตำแหน่งให้เหมาะสม เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้ามีแผนตลาดที่ดี โอกาสประสบความสำเร็จย่อมเป็นไปได้

ปราโมทย์ ไชยอุฬาร กรรมการผู้จัดการบริษัท วัน-วิไล ซินดิเคท จำกัด ผู้ผลิต “ทองม้วนวันวิไล”


เล่าว่า เดิมเคยเป็นตัวแทนจำหน่ายคุกกี้นำเข้าจากต่างประเทศ จนเห็นจุดอ่อนจุดแข็งในธุรกิจประเภทนี้ และเมื่อมองย้อนกลับมาที่ขนมไทยอย่างทองม้วน มีศักยภาพไม่ได้เป็นรองคุกกี้เลย นำมาสู่แรงบันดาลใจสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยปรับโฉมทองม้วนเพื่อบุกตลาดต่างประเทศ“ผมไม่ได้ต่อต้านขนมต่างประเทศ แต่รู้สึกว่า ขนมไทยก็มีดีไม่แพ้กัน และที่เลือกทองม้วน เพราะเริ่มแรกที่เรามองหาสินค้า มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น ขณะนั่งรถทัวร์ก็มีการแจกทองม้วนปี๊บ เรากินแล้วไม่อร่อยเลย พอหันมองรอบข้าง ทุกคนกินกันจนหมด เราก็คิดว่า เราทำได้ดีกว่านี้แน่ พอกลับมาถึงบ้านเล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาบอกว่าคุณแม่ทำได้ เป็นทองม้วนสูตรลพบุรี เลยขอสูตรมาลองทำดู”การวางกลยุทธ์ตลาดให้สินค้า ปราโมทย์ ระบุว่า เป้าหมายชัดเจนต้องเป็นขนมระดับพรีเมียม สำหรับตลาดต่างประเทศ สิ่งสำคัญ จะก้าวไปถึงได้นั้น ต้องสร้างมาตรฐาน โดยกำหนดสูตรให้ได้รสชาติที่ 8 จาก 10 คนพอใจ แล้วกำหนดการผลิตแบบชั่งตวงวัดให้คุณภาพนิ่ง รวมถึงปรับปรุงสถานที่ผลิตให้ได้มาตรฐานสากลต่างๆ อาทิ GMP , HACCP ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองม้วนรายแรกที่ผ่านมาตรฐานเหล่านี้“มาตรฐานสินค้า จำเป็นต่อการส่งออก ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงมาก แต่อยู่ที่การจัดการ เครื่องมือของเรา ก็เหมือนกับที่ทำทองม้วนขายทั่วไป วิธีการผลิตก็เช่นกัน ยังเป็นงานทำมือล้วนๆ แต่เรามาจัดระบบ เช่น ให้สถานที่สะอาด ถูกระเบียบ เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจ เขาก็อนุมัติให้”ทองม้วน วันวิไล ออกตลาดเมื่อ ปี 2541 เจ้าของธุรกิจ เล่าว่า ใช้ทุนเริ่มแรกไม่ถึงแสนบาท ทำกันแค่ตัวเองกับภรรยา และพนักงานอีก 2 คน โดยนำไปฝากขายที่ร้านในซอยละลายทรัพย์ด้วยตัวเอง หลังจากนั้น ประมาณ 1 เดือน ก็เริ่มมีคำสั่งซื้อมาจากที่อื่นๆ รวมถึงต่างประเทศด้วยส่วนที่ทำให้กิจการเติบโตแบบก้าวกระโดด เกิดขึ้นหลังจากเริ่มวางตลาดมาได้ 1 ปี เพราะได้เป็นผู้ผลิตทองม้วนเจ้าเดียวที่เข้าขายในดิวตี้ฟรี รวมถึงเมื่อปี 2546 ได้รับคัดเลือกจากบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้ผลิตเสิร์ฟบนสายการบินไทย สายการบินภูเก็ต และสายการบินบางกอกแอร์เวย์“คนทั่วไป จะคิดว่า การจะเข้าไปขายในดิวตี้ฟรี หรือเสิร์ฟบนเครื่องบิน เป็นเรื่องยาก และต้องมีนอกมีในด้วย แต่ผมยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ถ้าเราทำตามมาตรฐานที่เขากำหนดได้ อย่างผมก็เอาสินค้า ไปเสนอที่ฝ่ายจัดซื้อของเขาตามขั้นตอนด้วยตัวเอง และอธิบายคอนเส็ปท์ของเรา ให้เขาทดลองสินค้า จนเกิดความไว้วางใจ และตัดสินใจเลือกเรา”


ปราโมทย์ เสริมว่า การผลิตส่งขึ้นเครื่อง จะทำการพัฒนาสินค้าร่วมกับสายการบิน ไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ ปริมาณบรรจุ“เคยมีคนมาถามผมเหมือนกันว่า ทำไมซองที่เสิร์ฟบนเครื่อง น้อยจัง ซองหนึ่งมีแค่ไม่กี่ชิ้น ซึ่งส่วนนี้ เราพัฒนาร่วมกับสายการบิน ซึ่งเขาจะมองเหนือว่า เราขั้นหนึ่ง เช่น เขาจะคำนวณแล้วว่า ต้องขนาดเท่าไร ไม่ยาวเกินไป ให้พอดีคำ เพื่อไม่ให้กินแล้วแตก เป็นเศษเลอะเสื้อผ้าผู้โดยสาร หรือเลอะเครื่องบิน ซึ่งเขาต้องเพิ่มต้นทุนการทำความสะอาด หรืออย่างจำนวนชิ้น เขาก็คำนวณแล้วว่า ไม่ให้อิ่มเกินไป เพื่อจะไม่ได้เหลือ ทิ้งบนเครื่อง”ด้วยตำแหน่งสินค้าที่วางเป็นระดับพรีเมียม ราคาจึงสูงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันตามท้องตลาด ประมาณ 1 เท่าตัว โดยการตั้งราคา จะดูจากสินค้าตัวเอง กับสินค้าในตลาด แล้วนำเปรียบเทียบดูความเหมาะสม สำหรับราคาขายปลีกทองม้วนวันวิไล ขนาดกล่องละ 100 กรัม ราคา 25 บาท และขนาดกล่องละ 200 กรัม ราคา 50 บาท มีด้วยกัน 3 รสชาติ ได้แก่ รสต้นตำรับ กาแฟ และชาเขียว นอกจากนั้น ยังมีการออกสินค้าต่อเนื่องอื่นๆ รวมกว่า 10 รายการ เช่น โกโกคัฟส์ ซึ่งเป็นการนำเศษทองม้วนที่แตกหัก มาราดด้วยช็อกโกแลต ขนาด 150 กรัม ราคา 250 บาท กลายเป็นสินค้าใหม่ที่ได้รับความนิยมเช่นกันด้านปัญหาของธุรกิจ เจ้าของธุรกิจ ระบุว่า ในช่วงเริ่มต้น จะขาดแหล่งเงินทุน เพราะเวลานั้น สถาบันการเงินต่างๆ ไม่เชื่อว่า ขนมไทยอย่างทองม้วนจะกลายเป็นส่งออกได้“การที่เราคิดอยากจะทำอะไรสักอย่าง ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ไปเสียทุกอย่าง เช่น เงินลงทุน เพราะตอนเราเริ่มทำแทบจะไม่มีใครสนับสนุนแนวคิดเลย ส่วนใหญ่มักคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ บางคนดูถูกเราด้วยซ้ำไป ยิ่งธนาคารไม่ต้องพูดถึง พอรู้ว่ากู้เงินไปลงทุนทำทองม้วนก็โดนปิดโอกาสทันที แต่เราก็ไม่ได้โกรธอะไร เพราะเข้าใจว่าเขามองไม่เห็นโอกาสเหมือนกับที่เราเห็น”นับจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว วันนี้ ต่อเดือนมียอดผลิตทองม้วนกว่า 12 ตัน พนักงานขยายเป็นหลักร้อย ส่งเสิร์ฟบนสายการบินมาแล้วกว่า 2 ล้านซอง มูลค่าธุรกิจนับสิบล้านบาท โดยสัดส่วนส่งตลาดต่างประเทศ ประมาณ 20% อาทิ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน ส่วนอีก 80% เป็นส่งออกทางอ้อม ผ่านร้านดิวตี้ฟรี และสายการบินต่างๆปราโมทย์ อธิบายเสริมในส่วนตลาดในประเทศ ที่ผ่านมา ไม่ได้วางขายเลย เพราะราคาสูงเกินการยอมรับของคนไทยส่วนใหญ่ ประกอบกับกลัวจะลอกเลียนแบบ ทว่า ปัจจุบัน มั่นใจว่าตราสินค้ามีความเข้มแข็ง จึงเตรียมจะขยายตลาดในประเทศเร็ว ๆนี้“ที่ผ่านมา ผมยังมองว่า พฤติกรรมการบริโภคของคนไทย ยังสวนทางกับราคาของเรา และหากวางในประเทศ ผมกังวลการลอกเลียนแบบ เพราะจริงๆ แล้ว ก็ผลิตไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย มันอยู่ที่ระบบจัดการบริหาร การทำแพคเกจ ซึ่งเลียนแบบกันไม่ยาก

อย่างข้าวแต๋นที่ทำออกมาสวยๆ เป็นแพคเกจสีน้ำตาล ก็มีตามออกมาเหมือนกัน จนไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าแรก ดังนั้น ผมจึงรอให้สร้างแบรนด์ให้เข้มแข็งก่อน ซึ่งตอนนี้ คิดว่าพร้อมแล้ว”นอกจากนั้น แผนงานต่อไป จะเปิดตลาดต่างประเทศใหม่ เช่น เกาหลี ฮ่องกง สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา อีกทั้ง กำลังขยายโรงงานผลิต ด้วยการกู้เงินกว่า 20 ล้านบาท จากสถาบันการเงินหลายแห่ง คาดว่าจะเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มการผลิตได้อีก 2-3 เท่าตัวเจ้าของธุรกิจ สรุปว่า สินค้าของเขา ไม่ได้แปลกใหม่ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย หรือเงินทุนมหาศาล หากแต่วางตำแหน่งสินค้าถูกต้อง และมีระบบบริหารที่เหมาะสม จากทองม้วนธรรมดาๆ จึงกลายมาธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน



สบู่วรรผกา


วรรผกา สบู่นางในวรรณคดี สร้างเรื่องราวผูกสินค้ามีชีวิต

ปัจจุบันเรื่องของวรรณคดีไทยน้อยคนนักที่จะเอาใจใส่ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในยุคของโลกไซเบอร์ที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความเอาใจใส่ในเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีไทยลดถอยลงเรื่อยๆ แต่ "สบู่วรรผกา (wanphaka)" กลับได้นำเรื่องราวของวรรณคดีไทยมาผูกร้อยลงบนผลิตภัณฑ์ของตนเองได้อย่างลงตัว และยังเป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวต่างชาติกับผลิตภัณฑ์ที่สามารถเล่าเรื่องราวได้ในตัวเอง

ซึ่งการเริ่มต้นของธุรกิจนี้เรียกได้ว่าเกิดจากการแบ่งงานได้อย่างลงตัวของสองคู่ซี้ ที่อีกคนคิดคอนเซ็ปต์งาน กับอีกคนที่จบมาทางด้านโรคผิวหนัง ทำให้การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงไม่ใช่เรื่องยาก โดยนายวิญญูชนก สัมมาเจตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซีเครท มายธอส จำกัด (Secret Mythos) ผู้นำวรรณคดีมาผูกเรื่องลงผลิตภัณฑ์ได้อย่างลงตัว และนางสาววิมลรัตน์ ศรีมงคล ผู้จัดการร้าน และผู้ที่คิดค้นสบู่จากสมุนไพรไทยขึ้นมา ซึ่งแต่เดิมทั้งคู่ได้ร่วมกันเปิดร้านสปา และขายน้ำมันหอมระเหย และต่อมาได้ไปพบแหล่งผลิตน้ำหอมระเหยแหล่งใหญ่ ซึ่งเป็นกลิ่นดอกไม้ไทยล้วนๆ จึงคิดที่จะนำวัตถุดิบที่ได้มานี้มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ จึงมาลงตัวที่สบู่ สมุนไพร กลิ่นดอกไม้ไทยในวรรณคดี“ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง โดยใส่กลีเซอรีนแท้ 100% ราคากิโลกรัมละ 170 บาท ส่งผลให้สบู่เรามีราคาสูงกว่าสบู่ทั่วไปตามท้องตลาดที่ใช้เกล็ดสบู่เป็นส่วนผสมราคาเพียง 7 บาท/กก. และสบู่วรรผกา ของเรายังเอาสารที่สกัดมาจากธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมของสบู่ด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มสีให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น กลิ่นดอกบัว เราจะใช้ว่านหางจระเข้ เป็นส่วนผสมเพื่อให้ได้สีเขียวตามธรรมชาติ เป็นต้น ส่วนสรรพคุณของสบู่และสารสกัดที่มาจากธรรมชาติ เราได้ศึกษาสรรพคุณ จากตำราโบราณของไทย โดยจะเน้นสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่ทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้” วิมลรัตน์กล่าวหลังจากที่วิมลรัตน์ได้คิดค้นสูตรและส่วนผสมสบู่จากธรรมชาติได้อย่างลงตัวแล้ว จึงมาถึงขั้นตอนการคิดคอนเซ็ปต์ของสินค้าให้มีความแตกต่างจากสบู่สมุนไพรทั่วไป ที่มีขายเกลื่อนอยู่ตามท้องตลาด “วิญญูชนก” จึงเริ่มคิดเรื่องรูปแบบของสบู่ก่อน ที่ต้องการให้รูปลักษณ์มีความแตกต่างและโดดเด่นจากผู้ค้ารายอื่น จึงมาลงตัวที่สบู่ก้อนรูปดอกบัวที่สะท้อนถึงความเป็นไทย และมรดกไทย สุดท้ายจึงมาปิ๊งไอเดียในการนำวรรณคดีไทยมาผูกร้อยให้เข้ากับตัวผลิตภัณฑ์ที่แสดงถึงความเป็นไทยก่อนหน้านี้“ทางคุณวิมลรัตน์เมื่อคิดส่วนผสมสบู่สมุนไพรวรรผการวม 5 กลิ่น ได้แล้ว เราจึงเริ่มคิดในการเรื่องรูปลักษณ์และแพคเกจให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ด้วย จึงมาลงตัวที่การนำเรื่องราวของวรรณคดีไทยมาใส่ลงในธุรกิจนี้ ซึ่งสบู่ในแต่ละกลิ่นเราจะใช้นางในวรรณคดีมาเป็นตัวดำเนินเรื่องราว คือ กลิ่นดอกจำปี นางลำหับ จากวรรณคดีเรื่องเงาะป่า พระราชนิพนธ์ของ ร.5, กลิ่นดอกจำปา นางศกุนตลา จากวรรณคดีเรื่อง ศกุนตลา พระราชนิพนธ์ของ ร.6, กลิ่นดอกแก้ว นางแก้วเกษรา จากวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี บทประพันธ์ของ สุนทรภู่ และกลิ่นดอกบัว นางบุษบา จากวรรณคดีเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ของ ร.2” วิญญูชนกเล่าด้วยความภาคภูมิใจส่วนในเรื่องแพคเกจ กว่าจะออกมาในรูปแบบที่สวยงาม และมีการอธิบายถึงตัวละครนั้นๆ อย่างสั้น ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ถือว่าใช้เวลาพอสมควร และใช้ผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องหลายราย เช่น รศ.เสนอ นิลเดช อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร อ.เอนก นาวิกมูล เข้ามาดูในเรื่ององค์ประกอบของภาพ อ.เกริก บุนนาค วาดภาพนางในวรรณคดีจากสีน้ำ และเมื่อได้แพคเกจของสบู่ทั้ง 5 กลิ่นแล้ว ก็ได้นำไปเจิมกับพระมหาวีรวงศ์ ณ วัดสัมพันธวงศ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลปัจจุบันสบู่ของวรรผกา ได้รับรางวัลโอทอปยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาว ในการเข้าร่วมประกวดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2547 แถมยังได้รับคะแนนสูงสุดในสินค้าประเภทสบู่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยอีกด้วย และตั้งคาดว่าในปีหน้าจะส่งเข้าประกวดอีก และต้องการให้ได้รางวัลโอทอป 5 ดาวอีกครั้ง ซึ่งการชนะเลิศในการประกวดโอทอปครั้งที่แล้ว ทั้งคู่คาดว่านอกจากสบู่จะมีคุณภาพดีแล้ว ในตัวของแพคเกจที่คิดขึ้นเอง โดยได้นำใบบัวจริงมาผ่านขั้นตอนต่างๆ จนกลายมาเป็นแพคเกจที่เข้ากับตัวผลิตภัณฑ์ได้อย่างลงตัว โดยขณะนี้สบู่ภายใต้แบรนด์วรรผกา ได้มีจำหน่ายที่ ร้าน Bio Beaute Day Spa ร้านที่ 2-3 อาคารเลครัชดา ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์ กทม.,ร้านโอทอป เพลส เกาะสมุย, ใน SMEs Catalog, หนังสือขายสินค้าโอทอป บนเครื่อง ของการบินไทย และตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เป็นต้น ซึ่งราคาขายขนาด 100 กรัม อยู่ที่ 99 บาท/ก้อน และขนาด 50 กรัม ราคา 69 บาท/ก้อน และหากลูกค้าต้องแพคเกจที่ทำจากใบบัวจะบวกราคาค่าแพคเกจอีก 50 บาทสำหรับการส่งออกขณะนี้ได้มีลูกค้าสั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และฮอลแลนด์ เป็นต้น ซึ่งยอดการสั่งซื้อจากต่างประเทศจะมีเข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี แต่การจำหน่ายในไทย จะขายดีในช่วงเทศกาลสำคัญๆ นั้น ที่จะมียอดการสั่งเข้ามากเป็นพิเศษ




ทุกอย่างล้วนมีที่มา

"กลิ่นดอกไม้ไทยจึงควรใช้วรรณคดีไทยมาช่วยในการสร้างภาพของสินค้าว่าเป็นสินค้าไทยเพื่อบอกเล่าเรื่องราวได้" คำกล่าวที่ฟ้องที่มาของผลิตภัณฑ์สินค้าสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ 2547ประเภท สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา ระดับ 5 ดาว

สบู่ดอกไม้ไทย 5 กลิ่นของ "วรรผกา" สร้างสรรค์จากการค้นคว้าลักษณะและความโดดเด่นของเอกลักษณ์ บุคลิกตัวละครอิสตรี พร้อมสมมติเค้าโครงของเรื่องเพื่อเทียบเคียงลักษณะ 5 นางในวรรณคดี

สบู่กลิ่นดอกจำปี เหมาะสำหรับวรรณคดีเรื่อง "เงาะป่า" ซึ่งมีตัวเอกคือนางลำหับ ส่วนตัวเอกมีชื่อตรงกับเนื้อเรื่อง อย่างสกุนตลา ก็นำมาผลิตเป็นสบู่กลิ่นจำปา ตามบทพรรณาที่ว่า "ดูผิวสินวลละอองอ่อน มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น สองเนตรงามกว่ามฤคิน นางนี้เป็นปิ่นโลกา งามโอษฐ์ดังใบไม้อ่อน งามกรดังลายเลขา งามรูปเลอสรรขวัญฟ้า งามยิ่งบุปผาเบ่งบาน"

"รูปกายงามยิ่งพริ้งเพรา ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแม้น อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา ผมสลวยสวยขำงามเงาฯ" บทบรรยายความงามของนางพิมพิลาไลย จากเรื่องขุนช้างขุนแผน ช่างเหมาะกับกลิ่นชมนาด ส่วนวรรณคดีเรื่องอิเหนานั้น นางบุษบา ผู้งาม"วิไลล้ำเลิศเพริศพราย อันอัศจรรย์ที่บันดาด ก็อันตรธานสูญหาย ยังกลิ่นหอมรวยชวยชาย" กับภาพติดตาใกล้สระบัวงาม และสุดท้ายเรื่องพระอภัยมณี นางแก้วเกษรา กับ ชื่อพ้องสบู่กลิ่นดอกแก้ว








น้ำลูกยอ



เป็นที่ทราบกันดีว่า น้ำลูกยอ เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีวิตามินซี โปแตสเซียม วิตามิน เอ สูง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอการความแก่และสามารถป้องกันโรคมะเร็ง และโรคภูมิแพ้ได้ ซึ่งช่วงหนึ่งกระแสน้ำลูกยอเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ของคนไทย แต่ในขณะนั้นยังไม่มีผลการวิจัยถึงคุณประโยชน์ที่ชัดเจน ทำให้หลายคนเลิกดื่มกันไป

ซึ่งในปัจจุบัน มีผลงานวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชภัฏลพบุรี มารองรับ ว่าลูกยอมีสารที่ช่วยต้านมะเร็ง แก้โรคความดัน และสามารถปรับสมดุลให้กับร่างกาย ซึ่งตรงกับงานวิจัยของต่างชาติที่ดื่มกันมานานแล้ว โดยที่ผ่านมามีคนไทยบางกลุ่มที่ซื้อน้ำลูกยอดื่มเพื่อสุขภาพจากต่างประเทศกันเป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่พันธุ์ลูกยอของไทยก็มีสรรพคุณไม่ด้อยไปกว่าของต่างชาติเลย

สิริกานดา เขมาภิรักษ์ ผู้ผลิตน้ำลูกยอภายใต้แบรนด์ “บัวศรี” ก็เคยเป็นผู้หนึ่งที่นิยมดื่มน้ำลูกยอจากต่างประเทศ ตกขวดละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท มาแล้ว แต่ขณะนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ที่มีโอกาสผลิตน้ำลูกยอส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศบ้าง สิริกานดา เล่าว่า ในช่วงแรกตนเองมีธุรกิจในกรุงเทพฯ แต่เมื่อตนและสามี มีสุขภาพไม่ดี เป็นโรคภูมิแพ้ จึงคิดที่จะย้ายมาอยู่ที่จ.สิงห์บุรี เพื่อต้องการอากาศที่บริสุทธิ์ และคิดทำธุรกิจที่เน้นการอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เช่น การเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ชน และการทำปุ๋ยชีวภาพจากหอยเชอรี่ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกไปเนื่องจากไม่มีความรู้ โดยจุดหักเหของชีวิตที่ขณะนี้ประสบความสำเร็จในการผลิตน้ำลูกยอจำหน่าย เกิดจากตนเองและสามี มักจะสั่งซื้อน้ำลูกยอจากต่างประเทศมาดื่มเป็นประจำ แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง จึงคิดที่จะลองทำเพื่อดื่มเอง โดยใช้เวลาลองผิดลองถูกมากว่า 2 ปี กว่าจะมาลงตัวที่สูตรอย่างในปัจจุบัน

“การทำน้ำลูกยอ ในช่วงแรก ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเราไม่มีความรู้ในเรื่องลูกยอเลย แม้ในพื้นที่ของจ.สิงห์บุรี ก็มีผู้ที่ปลูกยอกันเยอะก็ตาม ซึ่งขั้นตอนของการหมักถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะหากหมักไม่ดี จะทำให้เกิดแก๊ส ตอนบรรจุลงขวดพลาสติก ขวดจะพองตัวขึ้นจำหน่ายไม่ได้ แต่สุดท้ายก็รู้ขั้นตอนที่ถูกต้องจากการลองผิดลองถูก มากว่า 2 ปี” จนกระทั่งได้มีโครงการของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา จัดให้มีการนำผลิตภัณฑ์เข้าประกวด เพื่อคัดสรรสู่สินค้าโอทอป จึงตัดสินใจลองนำน้ำลูกยอ เข้าประกวดเมื่อปี 2547 จนได้รับเลือกให้เป็นสินค้าโอทอป 4 ดาว โดยทำการเปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกในงาน โอทอป ซิตี้ ที่เมืองทองธานี ก็ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงามเป็นอย่างมาก แถมยังเป็นผลิตภัณฑ์น้ำลูกยอเจ้าแรกที่ได้รับรางวัลเชลล์ชวนชิม “เมื่อเราคิดที่จะทำขายอย่างจริงจัง เพื่อให้คนไทยลดการนำเข้าอาหารเสริมต่างจากประเทศ ก็เริ่มปลูกต้นยอ ในพื้นที่ของตนเองจำนวน 2,000 ต้น รวมถึงจ้างให้เกษตรกรปลูก โดยทางเราได้มีการประกันราคาให้ในราคากิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ซึ่งวัตถุดิบที่ต้องใช้ในแต่ละวันจะอยู่ที่ 200-300 กิโลกรัม กำลังการผลิตประมาณ 1,000 ขวด/วัน” ปัจจุบันน้ำลูกยอภายใต้แบรนด์แม่บัวศรี มีทั้งหมด 4 สูตร คือ 1.สูตรดั้งเดิม เป็นสูตรขายดีที่สุด (ราคา 280 บาท ขนาด 750 ซีซี) 2.สูตรลูกยอน้ำผึ้ง (ราคา 320 บาท) 3.สูตรลูกยอกระชายดำ (ราคา 290 บาท) 4.สูตรลูกยอกระชายดำผสมน้ำผึ้ง (ราคา 300 บาท) รวมถึงมีการนำลูกยอมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอีกหลายชนิด เช่น สบู่ลูกยอ โคลนพอกหน้าลูกยอ และแคปซูลลูกยอ เป็นต้น โดยมีจำหน่ายที่กรมส่งเสริมการส่งออก (รัชดา) กระทรวงพาณิชย์ ห้างแฟชั่นไอซ์แลนด์, ซีคอนสแควร์, เสรีเซ็นเตอร์ และตามจังหวัดใหญ่ๆ เช่น อุบลราชธานี เชียงใหม่ ระยอง และพัทยา เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวแทนจำหน่าย




หลังจากที่น้ำลูกยอแม่บัวศรี ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต และต้องตัดสินใจกู้เงินจากทาง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 2,300,000 บาทเพื่อลงทุนในเรื่องการทำโรงเรือน เพิ่มวัตถุดิบ สร้างรั้ว และซื้อรถกระบะ เพื่อใช้ในการขนส่ง ส่วนการส่งออก สิริกานดา บอกว่า ขณะมีชาวต่างชาติสั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศโครเอเชีย ญี่ปุ่น และสวีเดน ซึ่งมีทั้งการสั่งให้ผลิต และสั่งซื้อในแบรนด์ของบัวแม่ศรีโดยตรง ซึ่งสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% ขายในไทยเพียง 20% เท่านั้น แต่ความตั้งใจจริงผู้ผลิตต้องการจำหน่ายในประเทศให้ได้ 100% เพราะต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดี อัตราการเจ็บป่วยน้อยลง และลดการนำเข้าอาหารเสริมจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ซึ่งคนไทยสามารถมั่นใจในคุณภาพของน้ำลูกยอแม่บัวศรีได้ เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทยแล้ว ยังได้รับ อย. จากประเทศญี่ปุ่น และโครเอเชีย อีกด้วย หลังจากที่น้ำลูกยอแม่บัวศรี ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต และต้องตัดสินใจกู้เงินจากทาง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 2,300,000 บาทเพื่อลงทุนในเรื่องการทำโรงเรือน เพิ่มวัตถุดิบ สร้างรั้ว และซื้อรถกระบะ เพื่อใช้ในการขนส่ง ส่วนการส่งออก สิริกานดา บอกว่า ขณะมีชาวต่างชาติสั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศโครเอเชีย ญี่ปุ่น และสวีเดน ซึ่งมีทั้งการสั่งให้ผลิต และสั่งซื้อในแบรนด์ของบัวแม่ศรีโดยตรง ซึ่งสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% ขายในไทยเพียง 20% เท่านั้น แต่ความตั้งใจจริงผู้ผลิตต้องการจำหน่ายในประเทศให้ได้ 100% เพราะต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดี อัตราการเจ็บป่วยน้อยลง และลดการนำเข้าอาหารเสริมจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ซึ่งคนไทยสามารถมั่นใจในคุณภาพของน้ำลูกยอแม่บัวศรีได้ เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทยแล้ว ยังได้รับ อย. จากประเทศญี่ปุ่น และโครเอเชีย อีกด้วย หลังจากที่น้ำลูกยอแม่บัวศรี ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต และต้องตัดสินใจกู้เงินจากทาง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 2,300,000 บาทเพื่อลงทุนในเรื่องการทำโรงเรือน เพิ่มวัตถุดิบ สร้างรั้ว และซื้อรถกระบะ เพื่อใช้ในการขนส่ง ส่วนการส่งออก สิริกานดา บอกว่า ขณะมีชาวต่างชาติสั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศโครเอเชีย ญี่ปุ่น และสวีเดน ซึ่งมีทั้งการสั่งให้ผลิต และสั่งซื้อในแบรนด์ของบัวแม่ศรีโดยตรง ซึ่งสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% ขายในไทยเพียง 20% เท่านั้น แต่ความตั้งใจจริงผู้ผลิตต้องการจำหน่ายในประเทศให้ได้ 100% เพราะต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดี อัตราการเจ็บป่วยน้อยลง และลดการนำเข้าอาหารเสริมจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ซึ่งคนไทยสามารถมั่นใจในคุณภาพของน้ำลูกยอแม่บัวศรีได้ เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทยแล้ว ยังได้รับ อย. จากประเทศญี่ปุ่น และโครเอเชีย อีกด้วย หลังจากที่น้ำลูกยอแม่บัวศรี ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต และต้องตัดสินใจกู้เงินจากทาง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอีแบงก์) วงเงิน 2,300,000 บาทเพื่อลงทุนในเรื่องการทำโรงเรือน เพิ่มวัตถุดิบ สร้างรั้ว และซื้อรถกระบะ เพื่อใช้ในการขนส่ง ส่วนการส่งออก สิริกานดา บอกว่า ขณะมีชาวต่างชาติสั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศโครเอเชีย ญี่ปุ่น และสวีเดน ซึ่งมีทั้งการสั่งให้ผลิต และสั่งซื้อในแบรนด์ของบัวแม่ศรีโดยตรง ซึ่งสัดส่วนการส่งออกประมาณ 80% ขายในไทยเพียง 20% เท่านั้น แต่ความตั้งใจจริงผู้ผลิตต้องการจำหน่ายในประเทศให้ได้ 100% เพราะต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดี อัตราการเจ็บป่วยน้อยลง และลดการนำเข้าอาหารเสริมจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ซึ่งคนไทยสามารถมั่นใจในคุณภาพของน้ำลูกยอแม่บัวศรีได้ เพราะไม่เพียงแต่จะได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทยแล้ว ยังได้รับ อย. จากประเทศญี่ปุ่น และโครเอเชีย อีกด้วย

ต้มยำกรอบ




อาหารไทยกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะ “ต้มยำกุ้ง” เป็นเมนูอันดับหนึ่งที่ชาวต่างชาติรู้จักกันมากที่สุด ซึ่งจากนิยมในอาหารประเภทนี้ จุดประกายให้ผู้ประกอบการไทยรายหนึ่ง นำมาต่อยอดด้วยการแปรรูปจากอาหารจานหลักมาสู่อาหารกินเล่นแบบอบแห้ง เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้ ต้มยำกรอบ เป็นการประยุกต์เมนูต้มยำกุ้ง มาเป็นอาหารกินเล่นแบบอบแห้ง มีวัตถุดิบประกอบด้วย กุ้งเสียบ ปลาหมึกแก้ว ตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด พริกแห้ง และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งแม้ว่าจะพยายามขายจุดเด่นของความเป็นต้มยำ แต่ที่ต้องเพิ่มเม็ดมะม่วงหิมพานต์เข้าไว้ด้วย ก็เพื่อความเหมาะสมที่จะเป็นอาหารกินเล่น
ขั้นตอนการทำ นำส่วนประกอบต่างๆ ไปทอด และอบแห้ง แล้วคลุกกับน้ำต้มยำที่เคี่ยวเตรียมไว้ พยายามให้ได้รสชาติออกมาใกล้เคียงกับต้นตำรับมากที่สุด ถ้ากินแล้วเผ็ด ก็ไม่ใช่เพราะพริก แต่จะเผ็ดด้วยตะไคร้ เหมือนเวลากินพริกไทย เผ็ดร้อน ไม่เผ็ดมากไม่เผ็ดแสบเหมือนพริก ทั้งนี้ จากการสำรวจสินค้าในตลาด รสชาติของต้มยำกรอบถือว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถือได้ว่าเป็นเจ้าแรก โดยสามารถเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน

จุดเด่นของต้มยำกรอบ คือ รสชาติที่ใกล้เคียงกับต้นตำรับ และสะดวก หาซื้อง่าย กินได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา

นายอาวุธ อัศวชัยกุล กรรมการผู้จัดการ ไทยธัญญา อินเตอร์ฟูด จำกัด ผู้ผลิต “ต้มยำกรอบ” เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า จากที่ตัวเอง เคยศึกษาอยู่ต่างประเทศ เวลาอยากกินอาหารไทย ก็จะหากินได้ยาก และมีราคาแพง จึงมองเห็นช่องทางว่า ทุกวันนี้ อาหารไทยเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติมาก จึงคิดจะทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำอาหารไทยมาแปรรูปสำหรับขายตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจครอบครัวที่อยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว

“เดิมทีเราผลิตขนมอยู่ก่อนแล้ว มีหลายตัวด้วยกัน เช่น ข้าวเม่าหมี่ กลีบลำดวน กรอบเค็ม ทองม้วน ทองพับ ฯลฯ ก็มีคนมารับของเราไปขาย แต่เนื่องจากว่าเราผลิตหลายตัว ออเดอร์ไม่สม่ำเสมอ บางทีมีออเดอร์มาเยอะทำที 4-5 ตัว กระทะก็มีกระทะเดียว เราก็เลยมีความคิดที่จะผลิตสินค้าตัวใหม่ ด้วยความที่ตนเองเป็นคนกินเหล้า ก็เลยคิดหากับแกล้ม ก็ลองผิดลองถูกมาเรื่อย ใช้เงินทุนเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท ในที่สุดก็ได้สูตรนี้ออกมา ก็ใช้เวลาประมาณ ครึ่งปี กว่าจะได้รสชาติที่เป็นมาตรฐาน” เขาเผยว่า ได้วางกลุ่มลูกค้าไว้ที่ระดับบน และชาวต่างชาติ เพราะสินค้าราคาสูง ขนาด 150 กรัม ราคาขายส่ง 85 บาท ราคาขายปลีก 120 บาท


การทำตลาด เริ่มจากขายในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ขยายไปเป็นสินค้าส่งออก เช่น มาเลเซีย , สิงคโปร์ และสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางจัดจำหน่ายอื่นๆ อาทิ สนามบิน แหล่งท่องเที่ยว และได้รับคัดเลือกเป็นโอทอป 5 ดาวของเขตบึงกุ่ม ทำให้ได้ออกงานแสดงสินค้าด้วย มีรายได้ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในปัจจุบันประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน

เจ้าของผลิตภัณฑ์ เผยต่อว่า ผลตอบรับที่ผ่านมาถือว่า น่าพอใจ โดยรายได้มาจากตลาดในประเทศ และต่างประเทศ อย่างละครึ่งทั้งนี้ สินค้ายังมีจุดอ่อนที่ เก็บไว้ได้แค่ 3 เดือน ซึ่งการไปตั้งวางขายในตลาดต่างประเทศ เป็นอุปสรรค ซึ่งจะต้องพัฒนาสินค้าต่อไปนอกจากนี้ ในอนาคต จะพยายามพัฒนาด้านโรงงานผลิต ให้ได้มาตรฐานสากลต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการส่งออก โดยมองตลาดไปที่ 3 กลุ่ม คือ ตะวันออกกลาง , ยุโรป และเอเชีย อีกทั้ง การตลาดในประเทศ จะมุ่งไปยังสถานบันเทิงเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างชื่อให้เป็นเมนูสำหรับนักดื่มด้วย




Museum of siam